accident2

ตอน (19)

-19) มารู้จัก 3 คำนี้ให้ละเอียดขึ้นดีไหมที่เป็นตัวกำเนิดขุมปัญญา (wisdom) คือ 1) digest 2) certification 3)compareation หรือ DCC (ฆ่าโง่) นั้นเอง...................................................................................................................................................................... (1) ระบบการแยกแยะ (digest) คือ รู้จักแยกจากสิ่งที่ได้รับรู้รับฟังมา แล้วนำมาวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เช่น การเมือง ธุรกิจ ประเพณีต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ หัวใจของมันอยู่ที่การรู้จักถูกผิด ถูกก็ว่าถูกจริงๆ และอะไรที่ผิดก็ต้องยอมรับผิดจริงๆ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มีการวิเคราะห์อย่างมีระบบและปราศจากเงื่อนไขต่างๆ.......................................................................................................................................................................................................... การแยกหรือการคัดแยกที่ดีนั้น จะต้องมีขบวนการคัดแยกที่ละเอียดและปราณีตซ่อนอยู่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถคัดแยกได้ดีกว่ากัน เช่น การร่อนไชร์แยกขนาด แยกรูปร่าง แยกสี แยกผิวพรรณ แยกน้ำ แยกเนื้อ แยกกาก แยกน้ำหนัก แยกผลของผลลัพธ์ (ความแน่นหนา ความตื้นลึก ความคมชัด หรือ เสียงโหวดของผู้ที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย) การให้น้ำหนักของเหตุผล มากกว่าการให้น้ำหนักของการใช้ความรู้สึก การตัดสินที่ตั้งอยู่บนมาตราฐานเดียวกันโดยอาศัยการมองภาพรวมป็นหลัก.................................................................................................................................................................................... การจัดหมวดหมู่ได้ดี และการรู้จักแบ่งกลุ่มแบ่งชั้นๆ (layer) อย่ามั่วอย่าเหมารวม และอย่ามองเพียงมุมเดียว ควรใช้การพิจารณาให้ถี่ถ้วนและรอบครอบ โดยตั้งอยู่การวินิจฉัยของปํญญา ภายใต้การตัดสินใจอย่างมีระบบ ยิ่งแยกแยะเก่ง คนคนนั้นยิ่งฉลาดมาก เพราะเขามองภาพรวมและถอดรหัสออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยได้ดี ภาพมันจึงชัดขึ้นเรื่อยๆ และจงอย่าหูาเบาจากคำบอกเล่าของใครบางคนแล้วด่วนสรุปแล้วรีบทำการตัดสินโดยที่ยังไม่มีความชัดเจนกับสี่งนั้นๆ......................................................................................................................................................................................................................................... การแยกแยะที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย 1) จะต้องใส่เหตุและผลลงของไปที่มาที่ไป 2) ไม่ใส่อารมณ์ควรวางตัวเป็นกลางจริงๆไม่เข้าข้างใฝ่หนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น 3) ต้องวิเคราะห์เป็นประเมินได้ จัดหมวดหมู่เก่ง 4) เป็นคนช่างสงสัย 5) ต้องรู้จักตั้งคำถามและหาคำตอบให้ได้ 6) จงอย่าเพิกเฉยหรือประมาทกับสิ่งที่เข้ามาใหม่ๆโดยอย่าให้มันผ่านไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เก็บข้อมูลเลย 7) จะต้องไม่กลัวกับคำครหาใดๆทั้งสิ้นถ้าเรามองว่ามันถูกต้องแล้ว 8) ไม่ต้องสนใจว่าเราแยกแยะถูกหรือผิด(ในเบื่องต้น) ขอให้ทำไปก่อนแล้วถ้าผิดจริงๆให้รีบแก้ไขเสีย 9) เวลาทำการแยกแยะจะต้องอยู่ในช่วงที่จิตรใจที่สงบ ................................................................................................................................................................................................................................. สี่งแวดล้อมเงียบได้ยิ่งดี ปัญญาจะเข้ามาเอง และสิ่งที่สำคัญเมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะรู้เองโดยไม่ต้องมีใครสอน และเมื่อนั้นเราก็จะแยกแยะได้ดี แต่อย่าสรุปว่าสิ่งที่แยกแยะนั้นมันจะถูกต้องเสมอไป เพราะจะต้องดูก่อนว่าสิ่งที่แยกแยะนั้นโดยการสร้าง filter ซ้อน filter อีกที และต้องทำไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะได้การแยกแยะที่ได้ตกผลึก ที่สมบรูณ์......................................................................................................................................................................................................................................... แล้วก็นำไปเข้าขั้นตอนที่ 2 (อิทธิพลของการแยกแยะนั้นมันมีอำมาจต่อมวลมนุษยชาติมาก กล่าวคือ ถ้าอยู่ในมือผู้นำประเทศแล้วไม่สามารถแยกแยะได้ดี โอกาส พังหรือล้มเหลวก็มีสูงมาก ต่อให้มีกุญซือหรือ consult ก็ตาม ถ้าแยกแยะพลาดโอกาสเจ็งก็มีสูง เพราะฉะนั้น วิธีแก้นั้นก็มีอยู่ว่า จะต้องนำบทเรียนในอดีตที่พลาดมาทำการประกอบข้อมูลแล้วสร้างระบบใหม่ขึ้นมา โดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมสร้างระบบให้แข็งแรง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยการป้อนข้อมูลที่ทันสมัยอยู่เรื่อยๆพร้อมทั้งมีการลงมติในที่ประชุมของระบบ DCC )....................................................................................................................... อำนาจและอิทธิพลของมันสามารถเปลียนแปลงชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายในเสี่ยวนาทีของการตัดสินใจที่ถูกหรือผิด ซึ่งมันมีบทบาทต่อสังคมโลก และนี้คือที่มาของคำว่า ครอบครัวพัง สังคมพัง และประเทศพัง ก็มาจากผลจากการที่แยกแยะผิดพลาดนั้นเอง หรือ DCC มีไม่ครบ (มีให้เห็นมากมายที่ประวัติศาสตร์เคยจารึกไว้) ซึ่งการที่แยกแยะไม่เป็นนี้เอง................................................................................................................................................................................................. ถึงแม้ว่าได้มีการแยกแยะมาดีแล้วก็ตามแต่ก็ดีไม่เพียงพอหรือไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร และส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าใจขบวนการของระบบแยกแยะได้เลย ซึ่งก็มีมากเหลือเกินในสังคมบ้านเราที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ส่วนใหญ่มักใช้ระบบมวยวัดหรือมวยลูกทุ่งหรือมวยบ้านๆซึ่งไม่มีกฏกติกาที่เป็นมาตราฐานระดับสากลมาใช้ ซึ่งมันก็ไม่ผิดสำหรับคนยุคนั้นทั้งนี้ก็เพราะยังไม่มีเทคนิคหรือระบบที่ดีมารองรับนั้นเอง .......................................................................................................................................................................................................................................... การแยกแยะที่ดีนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆด้านตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ซึ่งจริงๆแล้วระบบที่ดีจะต้องไล่จากหยาบไปถึงละเอียด เริ่มตั้งแต่ การคัดแยก และคัดกรองที่แตกออกเป็นประเภทต่างๆอีกมากมาย การจัด หมวดหมู่ การแยกขนาดไซร์ จนไปถึงการแยกระดับกลิ่นและเสียง ซึ่งหลายต่อหลายคนก็นึกหรือคิดไม่ถึงเลย และคิดว่ามีอีกมากที่ไม่ใส่ใจหรือไม่ให้ความสำคัญเท่าไร ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามกันไปหมด ซึ่งจริงๆแล้วนั้นมันผิดแต่มันกลับมีความสำคัญมาก สามารถชี้วัดความเป็นความตายได้ในบางครั้ง.............................................................................................................................................................................................................. ที่มาของคนที่ฉลาดเฉลียวแต่ก็ยังมีจุดพลาดได้เหมือนกันหรือจุดเสียศูนย์นั้นก็คือ ระบบการแยกแยะที่บกพร่องนั้นเอง (mulfunction) เป็นจุดที่มาของการล้มสลายได้ในที่สุด ต่อให้คุณจะเป็นคนที่ฉลาดมากแค่ไหน หรือจะเป็นอัฉริยะก็ตามแต่ ถ้าเป็นคนหูเบา เชื่อคนง่าย และตัดสินด้วยการใช้ระบบแยกแยะที่บกพร่องแล้ว (ก็ไม่แตกต่างกับปลาที่ตายน้ำตื้น หรือ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แล้วเป็นคนที่ชอบอ้างอยู่เรื่อยๆแต่ไม่เคยสำรวจตัวเองเลยได้แต่ชอบที่จะโทษคนอื่น).............................................................................................................................................................................................. สุดท้ายก็ไปโทษดวงบ้าง โทษ เวรกรรมบ้าง หรือโทษโชคชะตา โทษโน้นโทษนี้ มั่วกันเข้าไปหรือหาที่ลงไม่ได้ก็ปลอบใจว่านี้มันเป็นเพราะกรรมเก่าสุดแล้วแต่ว่าใครจะอ้างอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นการแยกแยะหรือ การใช้คนเพื่อทำงานกับงานที่ได้มอบหมายซึ่งไม่สามารถใช้คนที่มีความชำนาณในแต่ละสาขานั้นๆ แต่ กับไปใช้คนที่ไม่ชำนาณมารับหน้าที่ที่ไม่เป็นมืออาชีพ ฉะนั้น ผลงานที่ออกมานั้นถึงแม้จะใช้ได้ระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ดีเท่าที่ควร........................................................................................................................................................................................................................................ เพราะฉะนั้นจึงควรใช้หรือแยกแยะคัดเลือกคนที่เป็นงานอย่างมีออาชีพมารับงานนี้ไปทำ และจะต้องให้ถูกที่ ถูกเวลาและถูกสถานะการณ์นั้นๆด้วย (put the right man on the right job) ท้ายสุดจะได้ไม่ต้องมาโทษหรือมาอ้างสารพัดหรือ มาโทษปี่โทษกลอง ตัวอย่างต่อมาก็คือ การทีตัวเราวางตัวไม่เป็นกลาง เช่นผลงานที่ออกมาเป็นที่ถูกใจมากแต่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นประโยชน์กับตัวเองและพวกพร้อง แต่มันไม่ถูกหลักกติกาของสังคม หรือกลุ่มเล็กได้ประโยชน์แต่กลุ่มใหญ่เสียประโยชน์ เป็นต้น และนี่ตือจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งปวง ................................................................................................................................................................................................... (2)ระบบการตรวจสอบ (certification) คือการนำโจทย์ที่ได้รู้มาหรือได้ยินมา มาทำการตรวจสอบ เพื่อสร้างความแน่ใจว่าส่งที่คัดแยกมานั้นถูกต้องแล้ว โดยอาศัยหลักการที่ว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่จะต่องมีระบบตรวจสอบที่ทันสมัย ณ เวสานั้นมาทำการตรวจสอบและเป็นที่ยอมรับของเสียงหมู่มาก การที่ได้รับความยินยอมหรือได้รับฉันธานุมัติ จากที่ประชุมหรือได้รับการเสียงโหวดจากของผู้ที่ลงคะแนน ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของบทสรุปภายใต้เครื่องมือที่มีอยู่ ณ ตอนนั้น ไม่ว่าการใช้เครื่องมือใดๆ ไม่ว่าจะเพิ่มหลักฐานที่มีอยู่............................................................................................................................................................................................................................................................................ หรือมี ระบบ x-ray ไว้คอยตรวจสอบรวมถึงระบบการตรวจสอบน้ำหนักว่าหนักเท่าไร รูปร่างผิวพรรณเป็นเช่นไร ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทั่วไป เพื่อหลีกเลี่ยงการมั่วนิ่มและมาต้องมาโทษกันทีหลัง การตรวจสอบนี้ขั้นตอนมันไม่ยากอะไรแต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยจะทำกันหรือไม่ใส่ใจหรือมักจะมองข้ามกันไปหมด การตรวจสอบที่ดีนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเที่ยงธรรมด้วย ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่มีนอกไม่มีใน (ขอบอกค่อนข้างยากเหมือนกันที่จะควบคุมให้ได้มาตราฐานจริงๆ ในสังคมที่ยังไม่พัฒนาเพราะมันเอื่อยและง่ายต่อการ (corruption)ทุกรูปแบบ)................................................................................................................................................................................................................................................... (3)การหาบทสรุปหรือการเปรียบเทียบให้เป็น (concludsion) คือ คุณต้องสร้างมิติหรือมุมมองให้มากกว่า 1 มุมมอง จะเป็น 2หรือ 3-4 ยิ่งดี แล้วนำมาเปรียบเทียบโดยการดูภาพรวมทั้งหมด (overall) ไม่ใช่ดูเฉพาะด้านเดียวมุมเดียว แล้วคิดว่าใช่ การเปรียบเทียบที่ดี ถ้าจะให้ดีจะต้องฉลาดเลือก ฉลาดทำ สามารถนำในสิ่งที่ดีๆหรือหาจุดแข็งของแต่ละสิ่งนำมาประยุกต์หรือใช้ให้เป็นก็จะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล จากนั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการหาบทสรุปหรือจะต้องรอให้อะไรบางอย่างเพื่อที่จะให้มันตกผลึกเอง เพื่อที่จะได้ภาพที่ชัดขึ้น หรือมีการลงมติในที่ประชุมเพื่อหาบทสรุป............................................................................................................................................................................................................................................... เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมี DCC ในตัวคุณแล้วรับรองได้คุณก็คือคนที่ฉลาดสุดๆ ทำอะไรก็มีแต่ความถูกต้อง และข้อผิดพลาดต่ำ ชีวิตก็จะรุ่งเรื่อง (จริงๆและของแท้ๆโดยไม่ต้องพึ่งใครให้มาช่วยเลย) คุณก็จะเป็นคนที่หลอกยาก และเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นสูง เป็นตัวของตัวเอง และท้ายสุดก็จะค้นพบตัวเองเจอว่าคุณต้องการอะไรในชีวิตและทุกอย่างก็จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง ถ้าระชาชนส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้รับรองว่าประเทศชาติก็จะเจริญนานๆเข้าก็จะกลายเป็นประเทศมหอำนาจในที่สุด เพราะทรัพยากรมนุษย์มีคุณภาพนั้นเอง นี่คือที่มาของคำว่า ฆ่าโง่ นั้นเอง........................................................................................................................................................................................................................................................................................ วิธีฆ่าโง่คือ การมองว่าตัวเองโง่อยู่ตลอดเวลาหรือเปรียบสเมือนการหิวความรู้นั้นเอง ตราบใดที่เมื่อคุณหิวความรู้กินอย่างไรก็ไม่อิ่มและรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ฉลาดและไม่รู้จักพออยู่เรื่อยๆ เมื่อนั้นคุณก็จะเป็นคนที่ไม่ประมาทกับชีวิตนั้นเอง และตราบใดที่คุณหิวอยู่เรื่อยๆ เมื่อนั้นคุณก็จะหาความรู้อยู่เรื่อยๆโดยมี filter 3 ชั้น lock อยู่ ความโง่ก็จะถูกฆ่าทุกวัน ความฉลาดก็จะเข้ามาเยือน บางครั้งถ้าคุณทำบ่อยๆ ปํญญาก็จะมาเองโดยไม่ได่รับเชิญ มันจะวิ่งเข้ามาหานั้นเป็นเพราะคุณสร้างกระแสขั่วบวกและขั่วลบของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้นเอง คุณก็จะเชื่อทุกอย่างที่มีเหตุผลและจะไม่งมงายต่อเรื่องไร้สาระทั้งปวง
ไม่มีบทความ
ไม่มีบทความ